เก้าอี้สํานักงาน มูลค่าและราคาถูก

เก้าอี้ทำงาน เพื่อสุขภาพ – กลายเป็นตัวช่วย ที่คนทำงานออฟฟิศ หลายคนหันมา ให้ความสนใจกันมาก ขึ้นในช่วง work from home เพราะการ นั่งทำงานนาน ๆ ตั้งแต่ 6 – 8 ชั่วโมงขึ้นไปทำ ให้เรามีความเสี่ยง ในการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม มากขึ้น นอกจากนี้เก้าอี้ ทั่วไปที่ไม่รองรับสรีระ ยังเป็นสาเหตุหนึ่ง ของการปวดหลัง คอ บ่า ไหล่อีกด้วย ดังนั้นลองมาดู วิธีเลือกเก้าอี้นั่งทำงาน ไม่ปวดหลัง

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อ เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพ

  • การออกแบบเบาะรองนั่ง : เก้าอี้ทำงาน เพื่อสุขภาพ ควรออกแบบเบาะรองนั่งให้มีความกว้างและลึกพอเหมาะเพื่อให้สามารถรองรับและกระจายน้ำหนักได้ดีเพื่อช่วยลดอาการปวดหลัง
  • เลือกเก้าอี้ที่มีเบาะรองหลัง : เบาะรองหลัง หรือ Lumbar Support ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักบริเวณกระดูกหลังส่วนล่างของเรา การเลือกเก้าอี้ที่มีเบาะรองหลังจึงช่วยลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ดี
  • ที่พักแขนควรปรับระดับได้ : เนื่องจากสรีระของผู้ใช้งานเก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้นส่วนสำคัญอย่างที่พักแขนจึงควรปรับระดับความสูงต่ำหรือเลื่อนซ้ายขวาได้เพื่อให้รองรับสรีระระหว่างทำงานมากที่สุด
  • ควรปรับระดับความสูงได้ : เก้าอี้ส่วนใหญ่มักปรับระดับความสูงต่ำได้อยู่แล้ว แต่สำหรับเก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพควรมีระบบปรับความสูงทั้งเบาะที่นั่ง ที่รองคอ และเบาะรองหลัง เพื่อให้รองรับกับทุกสรีระของผู้ใช้งาน
  • วัสดุที่ผลิต : ความคงทนแข็งแรงและความสบายคือหัวใจหลักของเก้าอี้เพื่อสุขภาพ ดังนั้นอย่าลืมเลือกเก้าอี้ที่ผลิตจากวัสดุที่แข็งแรง เช่น โครงเหล็ก อะลูมิเนียม หรือโครเมียม ส่วนวัสดุที่ใช้ทำเบาะก็มีทั้งฟองน้ำ โฟม ผ้าตาข่าย และหนัง PU โดยวัสดุแต่ละชนิดก็มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป

เมื่อต้องนั่งทำงานในท่าเดิมๆ เป็นเวลานาน ก็เสี่ยงที่จะเป็น ออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คืออะไร?

          ออฟฟิศซินโดรม หรือกลุ่มอาการปวด กล้ามเนื้อและ เยื่อพังผืด (Myofascial pain syndrome) คือ อาการปวดจากการ ใช้งานของกล้ามเนื้อ มัดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ตัวอย่างเช่น การนั่งทำงาน ต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้ปรับเปลี่ยน ท่าทางหรือ อริยาบท จนทำให้เกิดอาการปวด สะสมและกลายเป็นปวดเรื้อรังในที่สุด ซึ่งอาจพบร่วม กับอาการชา บริเวณแขน, มือ และปลายนิ้ว เนื่องอาจเกิด จากการที่เส้นประสาท ส่วนปลายใน แต่ละตำแหน่ง ถูกกดทับอย่าง ต่อเนื่อง ดังนั้น การไปพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัย ที่ถูกต้อง และการดูแลสุขภาพ ของตนเอง จะช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิด ออฟฟิศซินโดรมได้

อาการของออฟฟิศซินโดรม

1.ปวดกล้ามเนื้อบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น คอ, บ่า, ไหล่ สะบัก และ หลัง ส่วนใหญ่มักพบอาการปวดเป็นบริเวณกว้าง หรือบางครั้งไม่สามารถบอกตำแหน่งที่มีอาการปวดได้อย่างชัดเจน โดยผู้ป่วยบางรายอาจพบอาการปวดร้าวไปยังตำแหน่งต่างๆของร่างกายได้ อาการปวดอาจมีน้อยไปหามากซึ่งมักจะทำให้เกิดความรำคราญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือในขณะปฏิบัติงาน

2.อาการทางระบบประสาทที่ถูกกดทับ เช่น อาการชาบริเวณแขนและมือ รวมถึงอาการอ่อนแรง หากมีการกดทับเส้นประสาทนานจนเกินไป

การป้องกันเพื่อลดปัญหาออฟฟิศซินโดรม

การป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงอาการออฟฟิศซินโดรมประกอบด้วยหลายปัจจัย และทุกสาเหตุมีความสำคัญที่นำมาซึ่งอาการปวด ดังนั้นการป้องกันแต่ละวิธีจะมีส่วนช่วยให้ท่านมีความสุขกับการทำงานที่ปราศจากอาการปวด โดยการป้องกันนี้เป็นตัวอย่างที่จะแนะนำเพื่อลดการเกิดปัญหาออฟฟิศซินโดรม

  1. การปรับเปลี่ยนท่าทางอริยาบทเพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
  2. ไม่ทำงานในท่าทางอริยาบทเดิมนานเกิน 50 นาที หากมีความจำเป็นต้องทำต่อเนื่องควรหยุดพักสัก 10-15 นาที
  3. ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในการทำงานที่จำเป็นเพื่อลดการบาดเจ็บในระหว่างปฏิบัติงาน
  4. เตรียมร่างกายให้พร้อม เช่น การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่ต้องใช้งานหนัก, การยืดกล้ามเนื้อก่อน ระหว่าง และหลังจากการทำงานในแต่ละวัน

การรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม

ปัจจุบันการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมมีอย่างแพร่หลาย รวมทั้งมีความจำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะทำการรักษาเพื่อลดอาการปวดอักเสบ หรือลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ เนื่องจากมักพบผู้ป่วยที่มารับการตรวจรักษาเป็นระยะปวดเรื้อรัง ดังนั้นการวางแผนการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดจึงมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งวิธีในการรักษาคือ

การรักษาเพื่อลดอาการปวดและอาการชา ด้วยการกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็ก Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้รักษาอาการปวด โดยใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นทะลุผ่านเสื้อผ้าลงไปถึงเนื้อเยื่อ และกระดูก ประมาณ 10 เซนติเมตร คลื่นไฟฟ้าดังกล่าวจะกระตุ้นเส้นประสาทโดยตรง ทำให้เกิดกระบวนการ Depolarization กระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณที่ปวด และช่วยกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อดียิ่งขึ้น โดยสามารถบำบัดได้ทั้งบริเวณ คอ บ่า ไหล่ ข้อศอก แขน มือ เอว หลัง ไหล่ ขา เข่า หรือแม้กระทั่งข้อเท้า หรือแม้แต่กล้ามเนื้อเอ็นกระดูกไขข้อ ล้วนแล้วแต่สามารถบำบัดได้ด้วยเครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะโดยรอบ และรู้สึกผ่อนคลายในขณะที่ทำการรักษา โดยไม่สร้างความเจ็บปวดให้เกิดแก่ผู้ป่วยแต่อย่างใด เห็นผลทันทีหลังการรักษา และยังสามารถบำบัดอาการที่ปวดจากระบบเส้นประสาทและไม่ใช่เส้นประสาท เช่น กล้ามเนื้อ และกระดูก

ข้อดีของการรักษา

  1. ขณะทำการรักษาผู้ป่วยอาจพบอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ แต่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้เกิดแก่ผู้ป่วยแต่อย่างใด และสามารถทำเป็นครั้ง ๆ โดยไม่ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
  2. เห็นผลการบำบัดทันทีหลังการรักษา
  3. ใช้เวลาในการรักษาน้อยมาก ประมาณ 5 – 10 นาที ต่อ 1 จุดในการรักษา
  4. รักษาได้ผลทั้งในระยะเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน และเรื้อรัง

ข้อควรระวัง

เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้า มีความปลอดภัยมากและผลข้างเคียงต่ำ แต่ไม่สามารถทำได้ในผู้ป่วย

  1. มีอาการชักมาก่อน
  2. มีโลหะฝังอยู่ที่บริเวณสมอง เช่น คลิปหนีบเส้นเลือดโป่งพองในสมอง เป็นต้น
  3. ฝังอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ต่าง ๆ เช่นเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น

คำแนะนำหลังการรักษา

ข้อควรระวังเกี่ยว กับความแรงที่เกิดขึ้น นอกจากตะคริวแล้ว กล้ามเนื้อ ที่ถูกกระตุ้น ให้เกิดการใช้งาน ซึ่งแต่เดิมไม่เคย ได้ออกแรง หรือใช้งาน ในวันรุ่งขึ้นบางราย อาจเกิดการระบม เหมือนออกกำลังกาย มากเกินไป เนื่องจาก เกิดการระบม ในตำแหน่งที่ ทำการรักษาซึ่ง ไม่มีผลเสียอะไร พอได้พักผ่อน หลังจากเข้ารับ การรักษาประมาณ 2-3 วันแล้วก็ จะกลับมาเป็นปกติ

 

นอกจากการ รักษาโรคออฟฟิศซินโดรม ด้วยเครื่อง PMS แล้ว ศูนย์เวชศาสตร์ ฟื้นฟูยังมีหลากหลาย เครื่องมือ หรือการรักษาเพื่อช่วย ในการรักษาอาการปวดเรื้อรัง จากโรคออฟฟิศซินโดรมให้ คุณมีคุณภาพชีวิตได้ดีขึ้น อาทิ

  1. การรักษาเพื่อลดอาการปวดและอาการชา ด้วยการกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็ก Peripheral Magnetic Stimulation (PMS)
  2. การรักษาด้วยคลื่นกระแทกเพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อมีการซ่อมแซมในบริเวณที่มีการบาดเจ็บ Shock Wave Therapy ทั้งชนิด Focus และ Radial
  3. การรักษาเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ และเส้นประสาท โดยการใช้ High Laser Therapy
  4. การยืดกล้ามเนื้อโดยนักกายภาพบำบัด ซึ่งมีประโยชน์ทั้งการรักษาและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำได้
  5. การฝังเข็มโดยแพทย์ผู้เชียวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
  6. การรับประทานยา

กลับสู่หน้าหลัก – grabncap